ธรรมชาติตลอดสองฟากฝั่งลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ จ.กาญจนบุรี เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมาก แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาลงแพที่ท่าลงแพเขื่อนขุนแผนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน
ธรรมชาติตลอดสองฟากฝั่งลำน้ำแควน้อยและแควใหญ่ จ.กาญจนบุรี เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมาก แต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาลงแพที่ท่าลงแพเขื่อนขุนแผนไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน
ลุ่มน้ำสายนี้จึงกลายเป็นขุมทรัพย์มหาศาลของการทำธุรกิจ "แพล่อง" และค่อยๆ ผุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งในปัจจุบันมีถึง 1,525 แพ
เมื่อแพกลายเป็นธุรกิจก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการแข่งขันไปได้ ทำให้ผู้ประกอบการหลายคนพยายามคิดหาไอเดียใหม่ๆ และปรับแต่งรูปแบบแพกันไปต่างๆ นานา จนในที่สุดก็กลายเป็น "เธคลอยน้ำ" เพื่อหวังดึงดูดลูกค้า
ตารางการให้บริการส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์แล้ว ก็จะมีช่วงฤดูกาลหาเสียงอีกช่วงหนึ่งที่แพถูกจองเต็มหมด เพราะค่าใช้จ่ายแพแต่ละหลังไม่สูงมากนัก เพียง 3,000-4,000 บาท/คืน เท่านั้น ปัจจุบันจึงมีแพเธคให้บริการกว่า 160 หลัง เลยทีเดียว
จนกระทั่งปี 2548 มีผู้ร้องเรียนถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะมลพิษด้านเสียงไปทางเว็บไซต์ "ระฆังดอทคอม" เป็นผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของจังหวัดกาญจนบุรีตื่นขึ้นมา โดยจับมือกับสมาคมชาวเรือชาวแพกาญจนบุรี
จากนั้นได้คลอดประกาศของจังหวัดออกมา รวม 14 ข้อ ซึ่งเน้นเรื่องการใช้เสียงเป็นหลัก โดยให้เปิดระดับเสียงในแพไม่เกิน 91 เดซิเบล และริมตลิ่งระดับเสียงจะต้องไม่เกิน 65 เดซิเบล และภายหลังเวลา 24.00 น. เป็นต้นไป จะต้องงดใช้เสียงอย่างเด็ดขาด ผู้ประกอบการยอมรับว่ามีแพแหกคอกจริง จนก่อให้เกิดเป็นปัญหา และมีการว่าจ้างดีเจด้วยเงินเพียง 300 บาท เพื่อให้เปิดเพลงต่อหลังเวลา 24.00 น. อีกทั้งยังมีลูกค้าส่วนหนึ่งที่ดื่มของมึนเมาเกิดความคึกคะนอง มีเรื่องชกต่อยทำร้ายร่างกายกัน รวมทั้งกระโดดน้ำในยามเมาจนเป็นเหตุให้จมน้ำเสียชีวิตบ่อยครั้ง
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นคือ 1,525 แพ ไม่มีแพใดเลยที่ได้รับอนุญาตแม้แต่แพเดียว และส่วนใหญ่ที่พบก็คือ ไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต ซึ่งผู้ประกอบการอ้างว่า "ไม่คุ้มค่ากับเงินที่ได้จากค่าเช่าแพ" ก็เท่ากับว่าเมื่อนักท่องเที่ยวลงแพไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ดูแลกันเอาเอง รวมถึงสุขาที่ไม่ได้มาตรฐานคือ ไม่มีถังรองรับสิ่งปฏิกูล และปล่อยลงแม่น้ำโดยตรง ส่งผลให้บริเวณที่แม่น้ำสองสายมาบรรจบกันมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์มาก ซึ่งแสดงถึงคุณภาพน้ำย่ำแย่
แต่ผู้ประกอบการอีกส่วนหนึ่งก็ยืดอกยอมรับในประกาศของจังหวัด 14 ข้อ เพราะเจียมตัวว่าตัวเองผิดเต็มๆ ที่ไม่มีใบอนุญาต จึงให้ปราบและลงโทษแพแหกคอกอย่างเฉียบขาด แต่ก็ยังดูเหมือนปากว่าตาขยิบ เพราะสภาพปัญหาที่มันยังประจานตัวเองอยู่ ไม่สามารถที่จะหาข้ออ้างใดๆ มาแย้งเพื่อเอาตัวรอดไปได้เลย
การท่องเที่ยวแพถูกบิดเบือนไปจากเดิมอย่างมาก และยิ่งมากขึ้นเรื่อยทุกทีๆ เพราะกลุ่มวัยรุ่นที่อายุไม่ถึง 20 ปี ซึ่งไม่สามารถเข้าสถานบริการเธคบนบกได้ ก็รวมกลุ่มลงขันกันเช่าแพเธค เปิดเสียงเพลงดังกระหึ่มไปทั่งลำน้ำ ทำกิจกรรมกันแบบสุดโต่ง ซึ่งทำให้แพเธคเป็นสถานที่ที่ล่อแหลม เพราะไม่มีระเบียบกฎหมายใดมาห้ามปรามได้เลย
กระทั่งมีประชาชนที่ไม่ได้หลับได้นอนเพราะเสียงเพลงจากแพเธคที่เปิดดังสนั่นหวั่นไหว ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งคณะ ป.ป.ช.ก็ได้มาสัมผัสกับบรรยากาศที่ว่านั้นด้วยตนเอง และก็เจอเสียงที่ว่าเข้าเต็มๆ สองหู และภาพนักเที่ยวที่มันฟ้องอยู่ตำตา ในที่สุดก็จี้ให้ทุกฝ่ายรีบแก้ไขโดยเร็วที่สุด ห้ามปล่อยปละละเลยเหมือนเช่นที่ผ่านมาเด็ดขาด
ในที่สุด "อำนาจ ผการัตน์" ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาแนวทางในการเยียวยาแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม จนกระทั่งมีมาตรการออกมา 4 ข้อ ประกอบด้วย
1.เรื่องของเสียงดังที่สร้างความเดือดร้อนรำคาญที่เกิดขึ้นจากแพเธค จะนำกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอัตราโทษที่รุนแรงมาใช้
2.เรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งการทิ้งขยะและสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ ผู้ประกอบการจะต้องติดตั้งถังรองรับสิ่งปฏิกูลและถังขยะให้ครบทุกแพ มีเครื่องชูชีพครบจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลงแพ สัญญาณไฟส่องสว่างให้เห็นอย่างชัดเจนในยามค่ำคืน ให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน
3.การขออนุญาตและการจดทะเบียน ซึ่งกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจะเร่งปรับปรุงระเบียบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน จากนั้นจะให้ผู้ประกอบการมายื่นขอจดทะเบียนภายใน 6 เดือน และเมื่อจดทะเบียนครบถ้วนก็จะเร่งพิจารณาอนุญาตให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
4.สถานที่จอดและลักษณะการจอด ซึ่งรวมถึงแพทุกประเภททั้งแพพัก แพล่อง แพเธค แพอาหาร ทางกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี จะเร่งแก้ไขปรับปรุงระเบียบให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ห้ามมิให้ผู้ประกอบการนำแพมาจอดบริเวณท่าเทียบแพเขื่อนขุนแผนอย่างเด็ดขาด ยกเว้นรับ-ส่งผู้โดยสารเท่านั้น
"การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ก็เพื่อที่จะทำให้การท่องเที่ยวของกาญจนบุรีเป็นไปอย่างมีระเบียบ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน" นายอำนาจกล่าว
และภายใน 1 ปี หากแพใดไม่มีใบอนุญาต ผู้ว่าฯเมืองกาญจน์คนนี้จะไม่ยอมให้แพนั้นๆ ล่องลอยอยู่ในลำน้ำตามอำเภอใจเหมือนเช่นที่ผ่านมาอีกต่อไป